แฟนหนังมาร์เวล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฟนของเทพเจ้าสายฟ้า “ธอร์” ถึงกับเซ็งกันไปตามๆ กันเมื่อผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์รายใหญ่ของมาเลเซียที่ชื่อ โกลเดน สกรีน ซีนีมาส์ ออกมาประกาศว่าจะไม่นำธอร์ภาค 4 “Thor: Love and Thunder” มาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์
ก่อนหน้านี้ซักเมื่อราวๆ สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางโรงหนังออกมาบอกว่าได้เลื่อนการฉายหนัง ธอร์: ด้วยรักและอัสนี (Thor: Love and Thunder) ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ก่อนที่จะออกแถลงการณ์ล่าสุดดังนี้
“ถึงคุณลูกค้าที่มีค่ายิ่ง เราขอเรียนให้ทราบว่าทางดิสนีย์ได้แจ้งความคืบหน้ามาแล้วว่า ภาพยนตร์ “Thor Love and Thunder” ของมาร์เวล สตูดิโอส์ จะไม่เข้าฉายในมาเลเซีย เราซาบซึ้งใจในความอดทนของคุณ และเราขอโทษสำหรับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น”
ทั้งนี้ ภาพยนตร์ “Thor Love and Thunder” กำกับโดย ไทกา ไวทีที ปัจจุบันกวาดรายได้ทั่วโลกไปราว 685 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 2,500 ล้านบาท) ขณะที่ในประเทศไทย เข้าฉายเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำรายได้ไปกว่า 152 ล้านบาทแล้ว และยังไม่มีกำหนดออกจากโรงภาพยนตร์
สำหรับสาเหตุที่มาเลเซียยกเลิกการฉาย Thor Love and Thunder นั้นน่าจะเป็นเหตุผลเดียวกับเรื่อง “Lightyear” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นจากค่ายพิกซาร์ที่ถูกห้ามฉายไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นั่นก็คือ มีตัวละครรักร่วมเพศอยู่ในหนังด้วย และทางค่ายหนังต้นสังกัดไม่ยอมตัดฉากดังกล่าวออกไปตามคำร้องขอของกองเซนเซอร์มาเลเซีย
โดยนอกเหนือจากมาเลเซียแล้วยังมีอีกอีกเกือบ 20 ประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ที่ห้ามฉาย Thor Love and Thunder และ Lightyear เพราะเหตุผลดังกล่าว
ส่วนความสูญเสียที่ทางเครือโรงหนัง โกลเดน สกรีน ซีนีมาส์ ได้รับจากการไม่ได้ฉายหนังธอร์ ภาค 4 นั้นก็ต้องถือว่ารุนแรงไม่น้อย เพราะอุตสาหกรรรมภาพยนตร์มาเลเซียได้รับผลกระทบหนักหนาสาหัสอยู่แล้วจากการแพร่ระบาดของโควิดในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา
ยะฮู เอนเตอร์เทนเมนต์รายงานว่ารายได้จากการฉายหนังโรง ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 77 ล้านดอลลาร์ ในช่วงระหว่างปี 2017-2019 ลดฮวบฮาบลงมาเหลือแค่ 3.72 ล้านดอลลาร์ ในปี 2021 นอกจากนี้ทางผู้ประกอบการโรงหนังยังบ่นเรื่องที่ระยะเวลาในการนำหนังเข้าฉายทางแพลตฟอร์มอื่นๆ มันร่นระยะมาเร็วขึ้นด้วย
จากที่เคยรอให้ออกจากโรงก่อนนานถึง 90 วัน หรือ 3 เดือน ค่อยไปฉายทางช่องทางอื่น ปัจจุบันนี้ลดเหลือแค่เพียง 45 วันเท่านั้น หรือเดือนครึ่งเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้คนรอดูหนังในโรงน้อยลง เพราะคิดว่าอีกไม่นานก็ไปหาดูจากช่องทางอื่นได้แล้ว
