มันเริ่มต้นจากหนังที่ไม่มีใครอยากทำ แถมเปลี่ยนตัวนักแสดงกลางคัน สุดยอดหนังเหนือกาลเวลา ที่กลายเป็น ที่จดจำ จนต้องบอกว่าหนังดีไม่มีเก่า และ ในโอกาสที่ Back To The Future ครบรอบ 35 ปี แห่งความยิ่งใหญ่ เราจะพาทุกคน เจาะเวลา หาอดีต ย้อนประวัติที่มากันเลย

เรื่องราวของ Black to the future เริ่มจาก ตัวเอกคือ MARTY McFLY หนุ่มวัยรุ่น ที่ฝันว่า อยากจะเป็น ROCK STAR แต่ครอบครัวของเขา เป็นครอบครัวที่ไม่หวือหวาอะไร มีคุณแม่เจ้าระเบียบ และคุณพ่อผู้เฉยชากับทุกสิ่ง และยังมีพี่ๆที่ไม่เอาไหน นอกจากจะใช้ชีวิตวัยรุ่นในแต่ละวันแล้วสีสันในชีวิตอีกอย่างหนึ่งเขาคือได้รู้จักครับ DOC BROWN นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะสติเฟื่อง ที่เกิดมาเพื่อคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่มักจะไม่มีคนต้องการมัน แต่แล้วเหตุการณ์ในคืนหนึ่ง DOC ก็ได้โชว์สิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ของเขา นั่นคือ DELOREAN รถยนต์พิเศษที่จะพาคุณย้อนเวลา แต่ได้เกิดเหตุชุลมุนขึ้น MARTY จึงได้กลายเป็นหนูทดลองโดยไม่ตั้งใจ รถคันนั้น เลยพาเขาย้อนเวลากลับไปที่ ปี 1955 หลายสิบปีก่อนที่เขาจะเกิด จนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมากมาย เขาได้เจอกับพ่อแม่ตัวเองในสมัยหนุ่มสาว เขาต้องเข้าไปยุ่งกับตัวเองในอดีตอย่างนี้เลี้ยงไม่ได้ แต่เรื่องที่มันแย่ที่สุดเห็นจะเป็นแม่ของเขา เกิดตกหลุมรักในตัวเขาขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนั้น ตัวเขาเองก็จะไม่มีทางได้เกิด และจะค่อยๆเลือนหายไปในความทรงจำของทุกคน เขาถึงต้องหาทางออกและกลับมาในปัจจุบันให้ได้เร็วที่สุด
เรามาดูกันว่ากว่าจะมาเป็นหนัง Back To The Future มันมีที่มาที่ไปอย่างไรกันบ้าง

โรเบิร์ต เซเม็กคิส ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และเป็นผู้หลงใหลหมกมุ่นอยู่ในเรื่องของการย้อนเวลา ได้กล่าวว่า ตอนที่ผมเรียนภาพยนตร์ ผมตระหนักได้ว่า การเล่าเรื่องข้ามเวลาในหนัง น่าจะเป็นการถ่ายทอดได้ดีกว่าสื่อใดๆ
และเพื่อนรักของเขา ที่รับหน้าที่เขียนบท นั่นคือบ็อบ เกล ใช้เวลา อยู่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ตั้งแต่ที่เขาเรียนจบ ด้านภาพยนตร์ พวกเขาใฝ่ฝันว่า อยากที่ทำภาพยนตร์ เกี่ยวกับการย้อนเวลา โดยที่คนไม่รู้หรือไม่อิน กับประวัติศาสตร์ สามารถดูแล้วสนุกกับมันได้ ซึ่งมันคงไม่มีอะไร จะสนุกไปกว่า การเห็นชีวิตของคนใกล้ตัว เช่นพ่อแม่ ของตัวเองในวัยหนุ่มสาว ที่เปรียบเหมือนกับการ เปิดไดอารี่ของใครสักคนนึงอ่าน ละนั่น ก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้
โรเบิร์ต เซเมคคิส ยังกล่าวถึงเรื่องของชื่อหนังว่า เราเขียนในกระดาษว่า มาตี้ย้อนเวลากลับไป(MARTY GOES BACK IN TIME) และในอีกใบเขียนว่ส มาตี้ย้อนกลับไปในอนาคต (MARTY GOES BACK TO THE FUTURE) ซึ่งเฮ้ มันเป็นชื่อหนังได้เลยนิ
การเริ่มต้นการสร้างหนังเรื่องนี้ เต็มไปด้วยความทุลักทุเล ด้วย ชื่อเสีย ที่ย่ำแย่ ในช่วงแรกของชีวิตในการเป็นผู้กำกับหนัง ของตัวผู้กำกับอย่าง โรเบิร์ต เซเมคคิส รวมถึง เพื่อนของเขา บ็อบ เกล ผู้เขียนบทด้วยเช่นกัน การจะขายโปรเจคหนังไอเดียล้ำ ให้กับค่ายหนังต่างๆ มันเป็นเรื่องยากมากในตอนนั้น ทุก Studio ปฏิเสธพวกเขา อย่างโคลัมเบียพิคเจอร์ส ได้บอกว่า บทหนังมันน่ารักไปหน่อย เหมาะกับ walt disney มากกว่า แต่พอไปเสนอ Disney ก็โดนตีกลับมาอีก เพราะพวกเขามองว่า การมีฉากแม่จูบลูกตัวเองในหนัง แม้มันจะเป็นการย้อนเวลา มันเข้าข่าย incest หรือรักร่วมสายเลือด แต่ท่ามกลางกระแสตีกลับ มีชายผู้หนึ่งที่เข้าใจพวกเขา นั่นก็คือ พ่อมดแห่งฮอลลีวูด สตีเวน สปีลเบิร์ก
โดยสปีลเบิร์กได้กล่าวว่า พวกเขาเอาบทมาให้ผมอ่านแล้วบอกว่า “ไม่มีใครคิดจะทำมันเป็นหนังเลย สงสัยพวกเราคงบ้าไปหน่อย คุณช่วยอ่านแล้วบอกได้ไหมว่าคุณคิดอย่างไร” พอผมอ่านจบ ก็รู้สึกว่า มันแหวกแนวมาก และมันยังอิงตามหลักการของหนังสมัยเก่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว การก้าวข้ามพ้นวัย การมีรถคันแรก ความฝันและความปรารถนาทั้งหมด ที่คุณมีสำหรับชีวิตของคุณ เป็นเรื่องราวของ ช่องว่างระหว่างวัย เป็นเรื่องของการขาดการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างรุ่นของเรากับรุ่นพ่อแม่ ซึ่งนั่นคือ เรื่องราวที่น่าทึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางย้อนกลับไปในอดีตโดยบังเอิญ

ส่วนในเรื่องการเปลี่ยนนักแสดงกลางคัน ก่อนที่จะมาเป็นไมเคิลเจฟ็อกซ์ ที่เราเห็นเป็นตัวเอกมีหนัง กลับเป็นนักแสดงอีกคนหนึ่ง ทีมงานจึงต้องเจรจากับทางค่าย ต้องเปลี่ยนตัวนักแสดงนำ และถ่ายซ่อมใหม่ด้วยเงินถึง 4 ล้านเหรียญ แต่ปัญหายังไม่จบเพียงเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องอ้อนวอนกับผู้สร้างซีรีย์ดัง ยาง Family Ties ให้ยอมแบ่งคิวของไมเคิลเจฟ็อกซ์มา สิ่งที่ตามมาก็คือ หลังที่ Fox ถ่ายซีรีส์เสร็จตั้งแต่เช้ายันเย็นๆ เขาต้องขึ้นรถที่มีเตียงอยู่ด้านหลัง นอนหลับระหว่างนงตฉากที่อยู่ในหนังนั้น เขาเอง มีอาการเบลอ แต่มันก็เข้ากับคาแรคเตอร์ที่ได้รับเป็นอย่างดี

อีกคนนี้เป็นตัวเอกนี่นา นักวิทยาศาสตร์ อัจฉริยะสติเฟื่อง ที่รับบทโดยคริสโตเฟอร์ลอยด์ ที่เลือกใช้ไอสไตล์ มาเป็นคาแรคเตอร์อ้างอิง หลายมุกเด็ดที่เกิดขึ้นบนจอนั้น มาจากการด้นสดของเขาซะเป็นส่วนใหญ่
อีกหนึ่งสิ่งที่ทีมงาน รังสรรค์ออกมา ได้อย่างปราณีต นั่นก็คือ ยานพาหนะที่จะทำให้คุณย้อนเวลานั่นเอง โดยแต่เดิมนั้น ทีมงานจะใช้ตู้เย็น ในการเดินทางข้ามเวลา แทนที่จะเป็นรถ ที่รูปทรงทันสมัย อย่างที่ปรากฏในหนัง ที่มีความเท่ห์ล้ำหน้า เกินยุคนั้น นอกเหนือจากความเท่แล้ว ยังได้มีรายละเอียดต่างๆมากมาย ทีมงานต้องสร้างรถขึ้นมาถึง 3 คัน คันแรกที่สวยครบทุกฟังชั่น งานที่ 2 ต้องเน้นความปลอดภัย ใช้ในฉากสตั้น รายการที่ 3 ที่ดูไม่ค่อยจะเป็นคันเท่าไหร่เพราะถูกผ่าแยกชิ้นไว้เพื่อถ่ายจอดในแต่ละส่วนของรถนั่นเอง
เมื่อใดองค์ประกอบทั้งสามมาแล้วคำถามต่อไปคือแล้วการย้อนเวลา หน้าตามันจะต้องเป็นอย่างไร พวกเขาก็ได้รับการสนับสนุนจาก ทีมงาน Visual ที่ทำให้ Star Wars เข้ามาช่วย และไอเดียที่หลงเหลืออยู่รับเป็นเอกลักษณ์ของการย้อนเวลาในครั้งนี้ คือรอยล้อที่ติดไฟ ที่ถ่ายทำกันแบบบ้านๆ ก่อนจะเริ่มเอฟเฟคสีฟ้าเข้าไป แม้จะเป็นหนังที่มีเรื่องราวสุดล้ำ แต่ตลอดทั้งเรื่องนี้มีการใช้ Visual effect เพียง 30 ช็อตเท่านั้น
รวมถึงฉากที่เป็นเมืองในหนัง ก็ต้องสร้างขึ้นใหม่ในสตูดิโอ ใหม่ทั้งหมด โดยไม่ใช่แค่เมืองเดียว ต้องสร้างใหม่ถึงสองเมืองด้วยกัน โดยพวกเขาต้องเซ็ตฉากยุค 80 ละยุค 50 ไปพร้อมๆกัน ดังนั้นทีมงานจะต้องศึกษารายละเอียดในช่วงของยุค 50 ว่าควรจะมีอะไรประกอบฉากบ้างอย่างละเอียด
และในอีกหลายองค์ประกอบที่สำคัญของหนังไม่ว่าจะเป็นนักแสดงสมทบ ดนตรีประกอบฉาก ในหนัง และยังมีเพลงประกอบที่ติดชาร์ต อย่างเพลง The Power Of Love และเพลง Back In Time
เมื่อหนังออกฉายมันได้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก Black to the future รองอันดับ 1 ใน Box Office นานกว่า 11 สัปดาห์ จากต้นทุน 19 ล้านเหรียญ กวาดรายได้ทั่วโลกไป มากกว่า 381 ล้านเหรียญ ขอตำแหน่งภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปี 1985 และยังกลายเป็นหนึ่งใน Pop culture ที่สำคัญของโลก มีทั้งละครเวที เครื่องเล่นในสวนสนุก Video Game ถูกอ้างอิงอยู่เสมอหนังยุคใหม่ ส่วนที่พีคที่สุด ประโยคในหนัง ในการเป็นคำปราศรัยของประธานาธิบดี คือคำว่า Where Are We’re Going We don’t need roads หากใครยังไม่เคยได้ชม Back To The Future เราขอแนะนำให้ท่านไปหากันชมครับ แม้หนังจะผ่านมานานกว่า 35 ปีแล้วแต่ อย่างที่บอกไว้ในตอนแรกว่า หนังดีไม่มีวันเก่า สนุกกับการชมภาพยนตร์นะครับ แล้วพบกันใหม่กับเรา doomagon.com