มาถึงการปิดฉากอย่างสมูบรณ์แบบของอีกหนึ่งแฟรนไชส์หนังเรื่องยิ่งใหญ่ในยุคนี้ นี่คือ “Jurassic World: Dominion” (จูราสสิค เวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร) ที่กลับมาสานต่อเรื่องราวจากเหตุการณ์ภาคก่อนที่ยุ่งเหยิงไปอย่างไม่น่าเชื่อ โดยภาคนี้ยังได้ทีมผู้สร้างและทีมนักแสดงชุดเดิมกลับมา พร้อมกับนักแสดงฉบับคลาสสิกยังมาร่วมสมทบอีกด้วย แล้วผลลัพธ์ของหนังปิดไตรภาคเรื่องนี้จะออกมาได้ดั่งใจหรือไม่ไปดู
หนังเรื่อง Jurassic World: Dominion เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 4 ปีให้หลังจาก Jurassic World 2: Fallen Kingdom เกาะ อิสลา นูบลาร์ (Isla Nublar) ที่ตั้งดั้งเดิมของสวนสนุกจูราสสิก เวิลด์ ถูกทำลายเพราะถูกภูเขาไฟถล่ม ไดโนเสาร์ทั้งหลายถูกปล่อยออกสู่ธรรมชาติ ( ตรงตามชื่อจูราสสิก เวิลด์ซะที) โอเวน เกรดี (Chris Pratt) ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมไดโนเสาร์ แคลร์ เดียริง (Bryce Dallas Howard) อดีตนักวิจัยไดโนเสาร์ และน้อง เมซี ล็อกวูด (Isabella Sermon) ปลีกวิเวกอาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านกลางป่าลึก บลู ไดโนเสาร์แรปเตอร์สีน้ำเงิน ก็มีลูกแล้วด้วยตอนนี้ ในภาคนี้ ทั้งสามคนจึงต้องเผชิญหน้ากับการกลับมาครองโลกอีกครั้งของไดโนเสาร์ที่กำลังจะกลายมาเป็นจุดสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารแทนมนุษย์ และเผชิญหน้ากับบริษัทไบโอซิน จีเนติกส์ (BioSyn Genetics) ที่สร้างภาพว่าเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่กำลังมีแผนจะเข้ามาหาประโยชน์จากไดโนเสาร์อยู่เบื้องหลัง โดยมี ดัม แกรนต์ (Sam Neill) เอียน มัลคอล์ม (Jeff Goldblum) เอลลี แซตเลอร์ (Laura Dern) และ ดร. เฮนรี วู (BD Wong) แก๊งผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิก พาร์ค มาร่วมผจญภัยหาทางหยุดยั้งวิกฤติที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ประเภทหนัง | ผจญภัย,วิทยาศาสตร์ |
กำกับโดย | โคลิน เทรวอร์โรว์ |
บทภาพยนตร์โดย | เอมิลี คาร์ไมเคิลโคลิน เทรวอร์โรว์ |
ถือลิขสิทธิ์และสร้างโดย | ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส |
คะแนน IMDb | 5.6 |
ตัวหนังในภาคนี้ถือว่าขยายสเกลแบบเล่นใหญ่เวอร์วังทุกภาคส่วนจริง ๆ ครับ ตั้งแต่ความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครึ่งนักแสดงจากทั้งภาคเก่าภาคใหม่ พันธุ์ไดโนเสาร์ที่หลากหลายมากที่สุด และอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดจากนักบรรพชีวินวิทยาแล้วเรียบร้อย (ส่วนบางตัวนี่ก็อัปเกรดเกินเบอร์ไปหน่อยนะ) รวมทั้งการผสมผสานระหว่าง CGI กับหุ่นกลไกไดโนเสาร์เสมือนจริง หรือแอนิเมทรอนิกส์ (Animatronics) ที่นำมาใช้มากที่สุดในไตรภาคแล้ว รวมทั้งการถ่ายทำในหลาย ๆ โลเคชัน หลากภูมิประเทศจากทุกมุมโลก
อีกจุดที่ถือว่าน่าสนใจก็คือ บทภาพยนตร์จากฝีมือของเทรวอร์โรว์และ เอมิลี คาร์ไมเคิล (Emily Carmichael) ที่เคยร่วมปูทางด้วยการเขียนบทและกำกับหนังสั้นเรื่อง Jurassic World: Battle at Big Rock (2019) มาก่อนแล้ว ก็เลยทำให้มีวัตถุดิบที่เป็นประเด็นหลัก ๆ ของหนัง ที่จั่วหัวตอนเปิดเรื่องไว้แบบเข้ม ๆ และน่าสนใจ ทั้งการที่ไดโนเสาร์อยู่ร่วมกับธรรมชาติและมนุษย์ ที่ส่งผลต่อโลก ธรรมชาติ และวิถีชีวิตมนุษย์ในโลกยุคออนไลน์ราวกับโควิด-19 ก็มิปานระทึกจนตัวเกร็งนั้นก็ไม่เป็นสองรองใคร หากทำให้เราเพลิดเพลินและบันเทิงไปกับโลกของภาพยนตร์ได้ ข้อด้อยต่างๆ เราก็สามารถมองข้ามได้เช่นกัน รวมทั้งประเด็นการที่มนุษย์หาประโยชน์จากไดโนเสาร์ ที่คราวนี้ไม่ได้แค่เอาไปขายเป็นตัว ๆ แต่พยายามจะเอาเทคโนโลยีมาแอบอ้างหาประโยชน์ให้ตัวเอง และพยายามดัดแปลงไดโนเสาร์ให้มีคุณสมบัติอย่างที่ตัวเองต้องการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบโดยรวม
ทำให้บางครั้ง มนุษย์ที่มักมองตัวเองเป็นผู้ล่า แต่จริง ๆ แล้วมนุษย์เองก็หลงลืมไปเหมือนกันว่า บางครั้งตัวมนุษย์เองนี่แหละก็ทำตัวเองให้กลายเป็นผู้ถูกล่าได้เหมือนกันนะ ความเอาอยู่ของผู้กำกับอีกอย่างคือจังหวะการเล่าเรื่องที่ถือว่าสามารถคุมไดนามิกได้น่าสนใจเป็นการอัปเกรดจากตัวหนังที่เคยเป็น Action Adventure ในเกาะปิดตาย แต่คราวนี้ตัวละครหลักจะได้ออกไป Adventure พบเจอกับงานด้าน Action ทั้งจากไดโนเสาร์และจากมนุษย์ในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เรียกว่าตั้งแต่ต้นเรื่องก็ซัดแอ็กชันสับตีนแตกให้ได้ลุ้นกันแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนช้าผ่อนเร็วไปตลอดเรื่อง
นักแสดงนำของเรื่อง
คริสโตเฟอร์ ไมเคิล “คริส” แพร็ตต์ (Christopher Michael “Chris” Pratt) รับบทเป็น โอเวน เกรดี
ไบรซ์ ดัลลาส โฮเวิร์ดอ ( Bryce Dallas Howard ) รับบทเป็น แคลร์ เดียริง
แซม นีล (Sam Neill) รับบทเป็น อลัน แกรนต์
ลอรา เอลิซาเบท เดิร์น (Laura Elizabeth Dern) รับบทเป็น เอลลี แซตเลอร์
อิซเบลล่า เซอร์มอน ( Isabella Sermon ) รับบทเป็น เมซี่ ล็อกวู๊ด
เจฟฟ์ โกลด์บลุม ( Jeff Goldblum )รับบทเป็น เอียน มัลคอล์ม
ตัวอย่างภาพยนตร์
ไฮไลท์ของหนัง
1. ทัพนักแสดงรุ่นใหม่และรุ่นเก่ามากันเพียบ แน่นอนว่าใครที่เป็นแฟนหนังชุดนี้ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็น jurassic park คงได้รับความรู้สึกดีๆกันไปไม่น้อยเลยก็ว่าได้
2. ความสยองขวัญจากไดโนเสาร์ ที่ถือว่าเป็นเสน่ห์เฉพาะของแฟรนไชส์นี้ ซึ่งในภาคนี้ก็ยังทำออกมาได้ดีไม่แพ้กับภาคก่อนๆที่ผ่านมาตื่นเต้นลุ้นตามตลอด
3. แม้ช่วงครึ่งแรกของหนังจะน่าสนใจในแง่ของแอ็กชันไดโนเสาร์ในบรรยากาศธรรมชาติแบบเปิด และกลางเรื่องเองก็สามารถผลักให้กลายเป็นหนังแอ็กชันไล่ล่าสุดมันสุดระทึก
โดยสรุป Jurassic World Dominion จูราสสิคเวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร จะยังมีทิศทางอาจจะดูยังเพลย์เซฟเหมือนหนังภาคอื่น ๆ ที่ชวนให้รู้สึกจำเจอยู่พอสมควร แต่ก็ถือว่าเป็นการปรับเขย่ารสชาติที่ทำออกมาได้สนุกลงตัว ด้วยงานโปรดักชันที่เล่นใหญ่จัดเต็ม งานซีจีเนี้ยบ ๆ ไดโนเสาร์ที่มีทั้งความน่ารักและน่ากลัวอยากให้ชมกันค่ะ
ที่มาเพิ่มเติม
https://th.wikipedia.org/