ภาพยนตร์เรื่อง Star Trek หรือที่เรารู้จักกันในชื่อไทยว่า สตาร์ เทรค สงครามพิฆาตจักรวาล เป็นภาพยนตร์ที่ฉายเมื่อปี ค.ศ. 2009 การถ่ายทำหลักเริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 และสิ้นสุดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2008 ภาพยนตร์ถ่ายทำที่บริเวณรอบ ๆ รัฐแคลิฟอร์เนียและยูทาห์ การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการปกปิดเป็นความลับอย่างมาก โดยภาพยนตร์ถ่ายทำในชื่อปลอมชั่วคราวว่า คอร์เพอเรตเฮดควอเตอร์ส์ อินดัสเทียลไลต์แอนด์แมจิก ใช้ยานอวกาศดิจิทัลสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ แทนที่การใช้แบบจำลองย่อส่วนเหมือนกับภาพยนตร์เรื่องก่อน ๆ ในแฟรนไชส์ การสร้างภาพยนตร์สิ้นสุดในช่วงปลายปี ค.ศ. 2008 ภาพยนตร์ฉายในสหรัฐเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2009 ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์และประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศ ภาพยนตร์ทำเงิน 385.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก จากทุนสร้าง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อในรางวัลต่าง ๆ รวมไปถึง การเสนอชื่อในรางวัลออสการ์สี่สาขา ใน งานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 82 ภาพยนตร์ชนะเลิศสาขาแต่งหน้ายอดเยี่ยม ทำให้เป็นภาพยนตร์ สตาร์ เทรค เรื่องแรกที่ชนะเลิศรางวัลออสการ์อีกด้วย
หนังเล่าเรื่องในศตวรรษที่ 23 ในขณะที่ ยูเอสเอส แคลวิน ยานอวกาศของสหพันธ์ กำลังตรวจสอบ “พายุฟ้าคะนอง” ในอวกาศ ยานอวกาศโรมูลัน เนราดา โผล่ออกมาจากพายุและโจมตี แคลวิน เอเยล ต้นเรือของ เนราดา ต้องการให้กัปตันโรบาวของ แคลวิน เดินทางมาที่ยาน เนราดา เพื่อเจรจาหยุดยิง โรบาวถูกถามเรื่องวันที่ดวงดาวปัจจุบันและ “เอกอัคคราชทูตสป็อก” ซึ่งเขาไม่รู้จัก ทำให้ นีโร กัปตันยาน เนราดา ฆ่าโรบาว และดำเนินการโจมตี แคลวิน ต่อ จอร์จ เคิร์ก ต้นเรือของ แคลวิน สั่งให้ลูกเรืออพยพ รวมไปถึง วิโนนา ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอดของเขา โดยเขาจะควบคุมยาน แคลวิน ไปชนกับ เนราดา และสละชีวิตตัวเองเพื่อให้วิโนนาและลูกเรือคนอื่น ๆ รอดชีวิต หลังวิโนนาให้กำเนิดลูกของพวกเขา จอร์จและวิโนนาตั้งชื่อเขาว่า เจมส์ ที. เคิร์ก
ประเภทหนัง | Action, sci-fi |
กำกับโดย | เจ.เจ. แอบรัมส์ |
บทภาพยนตร์โดย | โรเบอร์โต โอร์ซีอเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน |
ถือลิขสิทธิ์และสร้างโดย | พาราเมาต์พิกเจอส์สปายกลาสส์เอ็นเทอร์เทนเมนต์แบดโรบอตโปรดักชันส์ |
คะแนน IMDb | 7.9 |
สิบเจ็ดต่อมาบนดาวเคราะห์วัลแคน สป็อกวัยหนุ่มได้รับการตอบรับเข้าร่วมสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งวัลแคน แต่สถาบันกลับมองว่าการที่เขามีแม่เป็นมนุษย์ (อะแมนดา) คือ “ข้อเสีย” เขาจึงไปเข้าร่วมสตาร์ฟลีตแทน บนโลก เคิร์กกลายเป็นหนุ่มที่บ้าบิ่นแต่ฉลาด เขาพบกับนีโอตา อูฮูราในบาร์ ก่อนที่เขาจะต่อสู้กับเหล่านักเรียนสตาร์ฟลีตที่มาพร้อมกับเธอ เคิร์กพบกับ กัปตัน คริสโตเฟอร์ ไพค์ โดยเขาให้แนะนำให้เคิร์กสมัครเรียนสถาบันสตาร์ฟลีต ที่นั่น เคิร์กได้พบและเป็นเพื่อนกับหมอ เลเนิร์ด แมกคอย สามปีต่อมา นาวาโทสป็อกกล่าวหาเคิร์กนั้นโกงแบบทดสอบ โคบายาชิ มารุ เคิร์กระบุว่าการโกงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เนื่องจากแบบทดสอบถูกออกแบบมาให้ไม่สามารถเอาชนะได้ การพิจารณาคดีถูกขัดจังหวะด้วยสัญญาณความขอความช่วยเหลือจากวัลแคน เนื่องจากกองยานหลักอยู่นอกระยะ จึงจำเป็นต้องกองกำลังของนักเรียนสตาร์ฟลีต แมกคอยและเคิร์กขึ้นยานอวกาศ ยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์ ของกัปตันไพค์ เมื่อเดินทางใกล้ถึงวัลแคน เคิร์กรู้ว่า “พายุฟ้าคะนอง” ที่เกิดขึ้นใกล้กับวัลแคนนั้น คล้ายกับพายุที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เขาเกิด เคิร์กเข้าไปห้องบังคับการเพื่อโน้มน้าวไพค์ว่าสัญญาณขอความช่วยเหลือนั้นเป็นกับดัก
เมื่อ เอ็นเตอร์ไพรส์ เดินทางมาถึง พบว่ากองยานที่มาถึงก่อนหน้านี้ถูกทำลายทั้งหมดและ เนราดา กำลังเจาะแก่นของวัลแคน เนราดา โจมตี เอ็นเตอร์ไพรส์ ก่อนที่นีโรจะสั่งหยุดยิงและให้กัปตันไพค์ขึ้นยาน เนราดา เพื่อเจรจา ไพค์สั่งให้สป็อคเป็นรักษาการกัปตันและเลื่อนขั้นเคิร์กให้เป็นต้นเรือและสั่งให้เคิร์ก, ฮิคารุ ซูลูและต้นกล โอลสัน ทำการกระโดดจากอวกาศเพื่อไปปิดเครื่องขุดเจาะ โอลสันพลาดท่าถูกฆ่าเสียชีวิต เคิร์กกับซูลูกระโดดลงมาได้สำเร็จและปิดเครื่องดังกล่าว แต่นีโรได้ปล่อย “สสารแดง” ลงไปในแก่นของวัลแคน ทำให้เกิดหลุมดำเทียมภายในดาวและทำลายวัลแคน สป็อคบีมลงไปที่วัลแคน เพื่อพยายามช่วยพ่อของเขา (ซาแรค) และเหล่าสภาสูง แต่เขาช่วยอะแมนดา แม่ของเขาไม่สำเร็จ เนื่องจากเธอตกลงไปก่อนที่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จะล็อกและบีมเธอขึ้นมาได้ทัน เรื่องราวในหนังจะจบลงอย่างไรอยากให้ไปดูด้วยตัวเองกันค่ะ
การทำหนังภาคต่อโดยใช้วิธีย้อนไปเล่าเรื่องก่อนหน้า (Prequel) เป็นมุขที่ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับหนังฮอลลีวู้ด แต่อบรัมส์ก็ได้แสดงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลไปอีกขั้น ด้วยการใช้เงื่อนไขด้านกาลเวลา ตัวละครจากอนาคตมามีบทบาทในโลกปัจจุบัน จนทำให้เหตุการณ์ภายภาคหน้าทั้งหมดแปรปรวนไปจากเดิม Star Trek ภาคนี้จึงไม่ใช่หนังเล่าย้อนเรื่องธรรมดา แต่กลายเป็น ‘โลกคู่ขนาน’ ของหนังภาคก่อนหน้าอีกด้วย
นักแสดงนำของเรื่อง
คริสโตเฟอร์ ไวต์ลอว์ ไพน์ (Christopher Whitelaw Pine )รับบทเป็น เจมส์ ที. เคิร์ก
แซคารี จอห์น ควินโต ( Zachary John Quinto ) รับบทเป็น สป็อก
คาร์ล เออร์บัน ( Karl Urban ) รับบทเป็น ดร. เลเนิร์ด “โบนส์” แมกคอย
โซเอ ยาดีรา ซัลดาญา เปเรโก ( Zoe Yadira Zaldaña Perego ) รับบทเป็น นีโอตา อูฮูรา
ไซมอน เพกก์ ( Simon Pegg ) รับบทเป็น มอนกอเมอรี “สกอตตี” สกอตต์
จอห์น โช ( John Cho ) รับบทเป็น ฮิคารุ ซูลู
ตัวอย่างภาพยนตร์
ไฮไลท์ของหนัง
1. สิ่งที่ได้รับการยกย่องอีกด้านหนึ่งนั่นก็คือการที่หนังเรื่องนี้สามารถนำเอาหลักทฤษฎี และแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ทั้งที่มีอยู่จริง และมีอยู่ในจินตนาการ มาปรับใช้ร่วมกับแนวคิดทางด้านศาสนาความเชื่อของผู้คนได้เป็นอย่างดี
2. หนังยังมีสิ่งที่น่าชื่นชมอีกคือ เรื่องของการใช้สเปเชียลเอฟเฟกต์ที่ยิ่งใหญ่สมคำล่ำลือจริง แต่มันก็สวยงามอย่างพอเหมาะ ไม่ได้ดูโชว์ของจนมากเกินไป
3. อย่างสุดท้ายที่น่าชื่นชมของหนังเรื่องนี้คือเพลงประกอบภาพยนตร์ด้วยฝีมือของ ไมเคิล จีอาชิโน ที่แม้จะเน้นความอลังการตามสไตล์หนังฟอร์มใหญ่ทั่วไป แต่มันก็ไม่ได้พิมพ์นิยมจนเกินไปนักจนไม่มีอะไรน่าจดจำเรียกได้ว่าพอเหมาะพอดีมาก
สำหรับ Star Trek ฉบับนี้นั้น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน Star Trek มาก่อน แต่ถ้าชอบหนังแอคชั่นอวกาศที่ไม่ได้ดูลิเกมากอย่าง Star Wars แล้ว นี่คือปฐมบทของ Star Trek รอบใหม่ ที่เป็นคนละแนว แต่สร้างความบันเทิงได้อย่างเต็มเปี่ยมไม่แพ้กัน หรือส่วนตัวจริงๆ น่าจะเรียกได้ว่าดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ทั้งในแง่ของบทที่แข็งแรง ความสัมพันธ์ และสีสันของตัวละครในเรื่อง ที่กลายมาเป็นทีมที่น่าเอาใจช่วย และสร้างความผูกพักกับคนดูได้มากกว่า จนทำให้ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟน Star Trek อยู่แล้วหรือไม่ แต่ถ้าชอบหนังธีมผจญภัยอวกาศแล้วห้ามพลาด
ที่มาเพิ่มเติม
en-m-wikipedia-org.translate.goog