เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักสไปเดอร์แมน เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่โดนแมงมุมกัด แล้วกลายเป็นผู้มีพลังพิเศษ และครั้งนี้เราพาทุกคนมาพบกับอีกหนึ่งสไปเดอร์แมนที่หลายคนชื่นชอบในฉบับของ แอนดรูว์ รัสเซล การ์ฟิลด์ ( Andrew Russell Garfield) ในชื่อว่า ดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน ( The Amazing Spider-Man) ที่ช่างพูดและความกวนที่ใกล้เคียงกับสไปเดอร์แมนในฉบับของหนังสือการ์ตูนมาก โดยภาคนี้เป็นเรื่องราวที่ย้อนกลับไปสู่ชีวิตในวัยเรียนของ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ กับช่วงเวลาที่ต้องพบว่าตัวเองนั้นมีความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนใคร การใช้ชีวิต ความรักครั้งแรก และเรื่องราวของพ่อแม่ที่หายตัวไป ซึ่งเขาไม่เคยรู้มาก่อน
หนังเล่าถึง ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (Andrew Garfield) เขาถูกพ่อแม่ทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก ป้าเมย์และลุงเบนก็คือผู้ที่ดูแล และเขายังเป็นเขานักเรียนไฮสคูลระดับหัวกะทิอีกด้วย แต่ตัวเขาก็เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไปที่พยายามค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเองและ ที่มาที่ไปของชีวิต ปีเตอร์ยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับรักแรกของเขากับ กวิน สเตซี่ (เอมมา สโตน) ที่ทั้งคู่ต่างเต็มไปด้วยความรัก คำสัญญา และความลับ ครั้นเมื่อปีเตอร์ได้ค้นพบกระเป๋าเอกสารที่มีเงื่อนงำลึกลับและรู้ว่าครั้ง นึงมันเคยเป็นของพ่อเขา ปีเตอร์จึงตั้งต้นค้นหาสาเหตุของการหายตัวไปของพ่อและแม่ ซึ่งนำพาให้เขาได้ไปพบกับ องค์กร Oscorp และห้องทดลองของ ดร. เคิร์ท คอนเนอร์ส (รีส อีวันส์) ผู้เป็นเพื่อนเก่าของพ่อของเขา แต่เมื่อไอ้แมงมุมได้เป็นศัตรูกับปีศาจกิ้งก่า ซึ่งมันก็คือ ดร. เคิร์ท คอนเนอสร์นั่นเอง ปีเตอร์จึงต้องตัดสินใจใช้พลังที่ได้มา สู่เส้นทางการเป็นฮีโร่ คอยปกป้องคนอื่นจากเหล่าร้าย ปีเตอร์มีความรักครั้งแรกเธอคือ เกวน สเตซี่ (Emma Stone) เมื่อปีเตอร์ได้เจอกระเป๋าของพ่อ เขาก็พยายามสืบหาการหายตัวไปของพ่อแม่ ทำให้เขาไปพบห้องแล็บของดร.เคิร์ท คอนเนอร์ส (Rhys Ifans) อดีตคู่หูของพ่อที่เป็นตัวร้ายอย่าง เดอะ ลิซาร์ดโดยบังเอิญ เลยเป็นสิ่งที่ทำให้ปีเตอร์ต้องเลือกการใช้ชีวิตที่อาจจะเปลี่ยนเขาไปตลอดกาล
ประเภทหนัง | Action , superhero,comedy |
กำกับโดย | มาร์ค เว็บบ์ |
บทภาพยนตร์โดย | เจมส์ แวนเดอร์บิลท์อาวิน ซาร์เกนท์สตีฟ เคลิว์ฟ |
ถือลิขสิทธิ์และสร้างโดย | โคลัมเบียพิกเจอส์ |
คะแนน IMDb | 6.6 |
ลำดับแรกที่จะขอเอ่ยเกี่ยวกับการดำเนินเรื่อง หนังมีการดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน แต่ระหว่างนั้น หนังพยายามสอดแทรกปมต่าง ๆ ของตัวละครสำคัญทั้งฝั่งพระเอกและฝั่งตัวร้าย ทำให้คนดูติดตามและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น แต่หนังภาคนี้ ค่อนข้างเน้นดราม่าเยอะไปหน่อย คือด้วยตัวนักแสดงที่ค่อนข้างให้อารมณ์ดราม่า และบทหนังก็ดราม่า มันเลยกลายเป็นสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นหดหู่ แต่น่าสนใจไปซะอย่างนั้น ดูบางฉาก มีน้ำตาตกเหมือนกัน
ซึ่งก่อนหน้านี้ หนังซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจสาวกของตัวละครอย่างสไปเดอร์แมน ออกสู่สายตาในจอภาพยนต์และเป็นที่รู้จักกันกับนักแสดงอย่าง โทบี้ แม็คไกว์ สำหรับสไปเดอร์แมน สามภาคนั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น แต่ยังไม่จบค่ะ ตำนานบทใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น ด้วยนักแสดงใหม่ และอารมณ์ของหนังก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ซึ่งในสไปเดอร์แมนภาคนี้ จะเล่าย้อนไปในช่วงที่ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ตัวนักแสดงของเรื่อง ยังมีพ่อแม่อยู่ครบ(ริชาร์ดและแมรี่) เล่าย้อนไปในสมัยไฮสคูล (ในภาคออริจินัลจะอยู่ในช่วงมหาวิทยาลัย) แต่ด้วยข้อสงสัยบางอย่าง ยังทำให้ส่วนตัวคิดว่าบางพาร์ทมันยังดูง่ายเกินไป และมันยังเหมือนไม่เคลียร์ให้กระจ่าง มีหลายส่วนหลายช่วงของหนังที่สามารถทำให้กระจ่างหรือเพิ่ม Detail เข้าไปในหนังได้ มันเลยทำให้รู้สึกว่ามันยังไม่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าแย่ไปซะทั้งหมด ยังมีส่วนที่ดีอยู่บ้าง อย่างพวกดนตรีประกอบ ก็ถือว่าทำออกมาได้สมบูรณ์
แต่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคงจะเป็น CG ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เรียกได้ว่าทำออกมาได้เนียนและสมบูรณ์แบบ ภาพสวยและมีความแนบเนียนในเรื่องของชุด สิ่งที่เปลี่ยนไปคือสีของชุดที่มีความเข้ม และมีการตัดสีเฉียบคมกว่าเดิม แต่สิ่งที่ยังขัดใจที่สุดคือการปล่อยใยแมงมุมของพระเอก ถ้าใครที่ดูหนังไตรภาค ก็อาจจะรู้ว่า พระเอกสามารถปล่อยใยได้จากข้อมือแบบธรรมชาติ แต่ในเวอร์ชั่นอะเมซิ่งนั้น กลับใช้อุปกรณ์เป็นเครื่องปล่อยใย ทำให้รู้สึกว่า สไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นนี้ ก็เป็นแค่ฮีโร่ที่ใช้อุปกรณ์ช่วย ไม่ได้ให้อารมณ์การมีพลังพิเศษเลย เท่าภาคของโทบี้ แม็คไกว์ ค่ะ
นักแสดงนำของเรื่อง
แอนดรูว์ รัสเซล การ์ฟิลด์ (Andrew Russell Garfield) รับบทเป็น ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ / สไปเดอร์แมน
เอมิลี จีน “เอมมา” สโตน (Emily Jean “Emma” Stone) รับบทเป็น เกวน สเตซี่
รีส โอไวน์ อีวันส์ ( Rhys Owain Ifans) รับบทเป็น ศาสตราจารย์ เคิร์ท คอนเนอร์ส / เดอะ ลิซาร์ด
อีร์ฟาน ข่าน (Irfan Khan) รับบทเป็น เนลส์ แวน แอดเดอร์
เดนิส เลียร์รี่ ( Denis Leary )รับบทเป็น กัปตัน จอห์จ สเตซี่
ตัวอย่างภาพยนตร์
ไฮไลท์ของหนัง
1. คนที่กำพร้าพ่อแม่ น่าสงสารและน่าเห็นใจมากกว่าที่คิด ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เค้าเป็นเด็กหนุ่มที่เคยมีพ่อแม่ แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เค้าเสียพ่อแม่ไป ทำให้เค้าถูกป้าและลุงดูแลต่อ โดยให้ความรักกับเค้าไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่เลย แต่ความรักความอบอุ่นจากลุงและป้า ก็คงไม่เท่ากับพ่อแม่อยู่แล้ว
2. เมื่อมีพลังก็ต้องใช้พลังในทางที่ถูก อย่างเช่นปีเตอร์ ในช่วงที่เค้าต้องตัดสินใจระหว่างความรัก กับภารกิจหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เค้าจะช่วยผู้คนได้มากมาย แต่เค้าจะไม่มีความสุขกับคนที่เค้ารัก และปีเตอร์ก็ตัดสินใจที่จะเลือกหน้าที่ ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจที่เห็นแก่คนหมู่มากกว่า นึกถึงความจำเป็นมากกว่าความรู้สึก
3. วิชวลเอฟเฟคต์ รวมถึงความสวยงามของชุดที่บอกได้คำเดียวว่าเนียนและคมกริบมากกว่าเดิม เรื่องเอฟเฟคต์อาจเป็นจุดเด่นเพียงอย่างเดียวของภาพยนตร์เรื่องนี้ และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คงจะเป็นการต่อสู้กับเหล่าวายร้าย การเคลื่อนไหวและลีลาการปราบผู้ร้ายที่ใช้CG บอกได้เลยว่าเด็ดสุด ๆ
ต้องบอกว่าถึงแม้ว่าสไปเดอร์แมนภาคนี้จะดึงดราม่าเยอะไปหน่อย เพราะหนังเน้นให้เห็นพาร์ทเศร้าของปีเตอร์ และอดีตช่วงที่เค้ายังมีพ่อแม่ครบ และหนังก็น่าสนใจในเรื่องของเรื่องราวไม่น้อยเพราะฉะนั้นต้องลองไปชมกันเองนะคะว่าชอบกันไหมกับสไปเดอร์แมนฉบับของ แอนดรูว์ รัสเซล การ์ฟิลด์ ( Andrew Russell Garfield)
ที่มาเพิ่มเติม
https://th.wikipedia.org/