ภาพยนตร์เรื่อง The Chronicles of Narnia: Prince Caspian หรือที่รู้จักในชื่อไทย อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย ตอน เจ้าชายแคสเปี้ยน หนังออกฉายในปี 2008 ที่สร้างจากนวนิยายเรื่อง Prince Caspian ในปี 1951 ซึ่งเป็นเรื่องที่สองของหนังชุดนี้และภาคต่อของ The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe (2005) เป็นภาคที่สองของภาพยนตร์ซีรีส์ The Chronicles of Narnia หนังฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2551และภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการชื่นชมจากนักวิจารณ์ในเชิงบวกจากเหล่านักวิจารณ์ หลายคนชื่นชมการแสดงและวิชวลเอฟเฟกต์ของหนังเรื่องนี้ส่านเรื่องของรายได้หนังภาคนี้ประสบความสำเร็จพอสมควรในบ็อกซ์ออฟฟิศ โดยทำรายได้ 55 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์เปิดตัว และทำรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 419.6 ล้านเหรียญ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดอันดับที่ 10 ของปี 2008 อีกด้วย
เปิดฉากมาหนังเลือกที่จะเล่าเหตุการณ์ในนาร์เนียอันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการผจญภัยครั้งนี้ ในอาณาจักรนาร์เนียที่ผ่านไปหลังจากภาคแรกถึง 1,300 ปี (แต่เท่ากับหนึ่งปีของโลกมนุษย์) เมื่อเจ้าชายแคสเปี้ยน (Ben Barnes) รัชทายาทโดยชอบธรรมแห่งดินแดนกำลังจะถูกลอบสังหาร เนื่องจากมิราซ (Sergio Castellitto) ผู้มีศักดิ์เป็นลุงซึ่งคิดจะฮุบบัลลังก์มาตลอด ได้ลงมือก่อการขั้นเด็ดขาด จนเจ้าชายต้องระเห็จหนีออกไปยังดินแดนพงไพร เขตป่าที่มนุษย์ไม่ก้าวเข้าไปย่ำกราย เพราะว่ากันว่ามีปีศาจและสิ่งมีชีวิตประหลาดมากมายอาศัยอยู่ ในขณะที่เจ้าชายกำลังประสบเหตุคับขันก็ได้ส่งสัญญาณไปดึงเอาสี่พี่น้องตระกูลพีเวนซี่ อันได้แก่ ปีเตอร์ (William Moseley), ซูซาน (Anna Popplewell), เอ็ดมันด์ (Skandar Keynes) และลูซี่ (Georgie Henley) ให้กล้บมายังนาร์เนียอีกครั้ง เพื่อร่วมกันกอบกู้ความสงบสุขคืนมา พร้อมทั้งยังต้องตามหาอัสลาน ราชาราชสีห์ที่ไม่มีใครพบมานานแสนนาน แต่อัสลานคือความหวังเดียวที่จะสยบเหล่าทรราชย์ที่หมายทำลายทุกชีวิตในแดนนาร์เนียให้สูญสลายไป เพราะเพียงกำลังของพวกเขาย่อมไม่พอที่จะต่อการกับกองทัพคนโฉดนับหมื่นได้แน่ๆ
ประเภทหนัง | fantasy |
กำกับโดย | แอนดูรว์ อดัมซัน |
บทภาพยนตร์โดย | แอน พีค็อdแอนดูรว์ อดัมสันคริสโตเฟอร์ มาคัสสตีเฟน แม็คฟีลี |
ถือลิขสิทธิ์และสร้างโดย | วอลต์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส |
คะแนน IMDb | 6.9 |
ตัวหนังถือว่าหนังสามารถทำได้เข้าท่ากว่าภาคแรกในหลายๆ ทาง พวกฉาก โปรดักชั่น โลเกชันต่างๆ ยังให้อารมณ์ดินแดนแห่งมนตราได้อยู่ ไม่ว่าจะฉากที่พี่น้องต้องล่องเรือไปตามลำธารที่น้ำใส ไหลเย็น ก็ได้ใจไปแล้วล่ะ ฉากการต่อสู้ก็ถึงอกถึงใจ มีมากกว่าภาคก่อน ต้องบอกว่ากว่าครึ่งของเรื่องราวมีแต่การต่อสู้ ประจัญบานทั้งนั้น ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีนะ เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ก็สนุกไปด้วยเช่นเดิม ที่เพิ่มมาคือความมันส์และอารมณ์ขันอย่างที่บอกคร่าวๆ หนังดูสบายๆ ฉากสู้เยอะขึ้น เนื้อเรื่องก็ทำท่าจะเข้มขึ้น ซึ่งโดยพล็อตแล้วส่วนตัวว่าหนังจะทำให้มันเปี่ยมสาระก็ทำได้ เพราะปมช่วงแรกของหนังมันมีเรื่องน้าชายจอมโฉดของเจ้าชายแคสเปี้ยน ที่ดูฉลาดและรู้ทันเจ้าชายหมด ซ้ำยังหว่านล้อมคนอื่นได้เก่ง ก็อดมีความหวังไม่ได้ว่าเขาน่าจะเป็นวายร้ายที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง
อีกหนึ่งปมก็คือเรื่องอารมณ์ร้อนของปีเตอร์ ที่ในเรื่องเขาจะฮึดฮัดแสดงอำนาจตลอดเวลา นี่ส่วนตัวก็คิดอีกเหมือนกันว่าน่าจะเอามาสานต่อเป็นปม Coming of Age คิดในใจว่าตอนท้ายคงมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้ปีเตอร์เป็นผู้ใหญ่ขึ้น รวมถึงเจ้าชายแคสเปี้ยนที่ดูเป็นเจ้าชายอ่อนประสบการณ์ ซ้ำยังอารมณ์ร้อนพอๆ กับปีเตอร์ด้วย มันก็น่าจะขมวดเรื่องราวสอนให้เจ้าชายได้เรียนรู้การเป็นเจ้าชายที่ดีได้ แต่ก็น่าเสียดาย เพราะอะไรดีๆ ที่ปูไวครึ่งแรกไม่ได้รับการสานต่อ เริ่มจากวายร้ายอย่างมิราซที่น่าจะเก่ง มาตอนท้ายกลับกลายเป็นตาลุงที่ไม่ได้มีพิษสงใดๆ ส่วนปมอารมณ์ร้อนของปีเตอร์กับเจ้าชายแคสเปี้ยนก็ผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่ได้มีอะไรงอกเงยขึ้นมา
จุดด้อยอีกหนึ่งที่สำคัญคือ สี่พี่น้องตระกูลพีเวนซี่นั้นดูไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งที่ตอนจบภาคแรกนี่ดูไปคิดเลยว่าต้องรักกันแบบตายแทนกันได้แน่ แต่ในเรื่องกลับไม่ค่อยมีอะไรสารต่อในส่วนนี้เลย
นักแสดงนำของเรื่อง
วิลเลียม โมสลีย์ ( William Moseley ) รับบทเป็น ปีเตอร์ พีเวนซี่
แอนนา แคเธอรีน ป็อปเปิลเวลล์ (Anna Katherine Popplewell) รับบทเป็น ซูซาน พีเวนซี่
สแกนดาร์ เคนส์ ( Skandar Keynes) รับบทเป็น เอ็ดมันด์ พีเวนซี่
จอร์จีน่า “จอร์จี้” Laura เฮนลี่ย์ ( Georgina “Georgie” Laura Henley ) รับบทเป็น ลูซี่ พีเวนซี่
เบนจามิน โธมัส บาร์นส์ ( Benjamin Thomas Barnes) รับบทเป็น เจ้าชายแคสเปี้ยน
อาลิเซีย บอร์รัชเชโร( Alicia Borrachero) รับบทเป็น ราชินีพรูนาพริสเมีย
ตัวอย่างภาพยนตร์
ไฮไลท์ของหนัง
1. ในภาคนี้อันดับแรกเลยที่รู้สึกชอบคือฉากแอ็คชั่นที่มีมากกว่าภาคแรกมีการต่อสู้ทำสงครามกันเป็นระยะทำให้หนังสนุกไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อและดูเป็นหนังเด็กมากจนเกินไป
2. การแสดงของนักแสดหลักในภาคนี้ที่พวกเขาโตขึ้นมากเหมือนกันเมื่อเทียบกับภาคแรกที่ก็ไม่ใช่แค่โตขึ้นแค่ตัวเท่านั้นในส่วนของการแสดงก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก
3. อัสลานขวัญใจแฟนหนังเรื่องนี้มาภาคนี้แม้เขาจะไม่ปรากฏตัวเลยจนกระทั่งตอนท้าย แต่นั่นก็เป็นการกระทำเพื่อให้ปีเตอร์ แคสเปี้ยนและคนอื่นๆ รู้จักที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการใช้ชีวิต
สรุปแล้วโดยรวมในภาคนี้หนังยังทำออกมาได้สนุก ใครที่เคยดูภาคแรกมาแล้วก็ไม่น่าที่จะพลาดกับหนังภาคนี้ หรือใครที่ยังไม่เคยดูก็สามารถไปหามาชมกันได้เหมือนกัน
ที่มาเพิ่มเติม
https://en-m-wikipedia-org.translate.goog/