มาถึงภาคสุดท้ายกันแล้วกับภาพยนตร์ไตรภาคอย่าง The Hobbit กับThe Hobbit: The Battle of the Five Armies หรือในชื่อไทย เดอะ ฮอบบิท: สงคราม 5 ทัพ เข้าฉายในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งภาพยนตร์ภาคได้รับการตอบรับที่หลากหลายจากนักวิจารณ์และทำเงินมากกว่า 962 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดอันดับที่สองในปี ค.ศ. 2014 อีกด้วย ซึ่งพอทราบว่า The Hobbit: The Battle of the Five Armies ยาวแค่ 144 นาที ที่จริง ใช้คำว่า แค่ ก็ยังรู้สึกแปลกๆ แต่ 144 นาทีนี้ก็ถือว่าสั้นที่สุดในบรรดาทุกภาคแล้ว ก็รู้สึงดีขึ้นในเรื่องความกระชับของเนื้อเรื่อง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเล่าถึงบทสรุปไตรภาคการผจญภัยของ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ (มาร์ติน ฟรีแมน), ธอริน โอเคนชิลด์ (ริชาร์ด อาร์มิเทจ) และคณะคนแคระที่ทวงคืนบ้านเกิดของตนจาก มังกรสมอว์ก (พากย์เสียงโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์) และได้ปลุกพลังอันชั่วร้ายขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ สมอว์กโกรธแค้นและได้พ่นไฟทำร้ายมนุษย์ทั้งหญิงชายและเด็กๆ ที่ไม่มีทางสู้ในเมืองทะเลสาบด้วยความคั่งแค้น ด้วยความต้องการที่จะไปทวงคืนทรัพย์สมบัติ ธอรินยอมเสียสละมิตรภาพและเกียรติยศเพื่อใส่ร้ายว่าเป็นแผนชั่วของบิลโบ เพื่อทำให้ฮอบบิทเดินหน้าต่อไป แต่กลับมีอันตรายที่โหดร้ายกว่ารออยู่เบื้องหน้าซึ่งไม่มีใครมองเห็นได้นอกจาก พ่อมดแกนดัล์ฟ (เอียน แมคเคลเลน) นั่นคือศัตรูผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซอรอน ได้เคลื่อนทัพไปพร้อมกับกองทัพออร์คเพื่อแอบซุ่มโจมตีพวกเขาที่หุบเขาเดียวดาย
ประเภทหนัง | แฟนตาซี,ผจญภัย |
กำกับโดย | ปีเตอร์ แจ็กสัน |
บทภาพยนตร์โดย | ฟราน วอลช์ฟิลิปปา โบเยนส์ปีเตอร์ แจ็กสันกิเยร์โม เดล โตโร |
ถือลิขสิทธิ์และสร้างโดย | วอร์เนอร์บราเธอร์สพิกเชอส์ |
คะแนน IMDb | 7.4 |
ตัวละครที่เรารู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นคือ 13 คนแคระที่ภาคแรกไม่โดดเด่นด้วยความที่มีจำนวนมาก รูปร่างท่าทางคล้ายกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร นอกจาก ธอริน โอเคนชิลด์ เจ้าชายคนแคระผู้เย่อหยิ่ง ที่ภาคนี้เขาพัฒนาไปในทางก้าวร้าวขึ้น หมกมุ่นกับการตามหาเพชรอาร์เคนสโตนจนเห็นความมืดในดวงตา ผิดกับ คิลี คนแคระหนุ่มผู้หล่อเหลา จิตใจดี กล้าหาญ เป็นอีกคนที่ได้ใจผู้ชม โดยเฉพาะประเด็นรักสามเส้ากับ ธอเรียล เอล์ฟสาวหัวหน้าองค์รักษ์ สวยเฉียบขโมยซีนที่สุดในภาคนี้ และ เลโกลัส เจ้าชายเอลฟ์ผู้สูงศักดิ์ (สองตัวหลังไม่มีในหนังสือ) ลูกชายของกษัตริย์พรายผู้เย็นชา ทำให้เนื้อหามีส่วนของ ดราม่า โรแมนติก แอ็กชั่น ผสมกันแบบลงตัว
พล็อตจริงๆ ในหนังสือคือ เรื่องราวของเจ้า Hobbit ตัวจิ๋วตีนโต Bilbo Baggins ออกเดินทางไปยัง Lonely Mountain กับกลุ่มคนแคระเพื่อเอาภูเขา ปราสาท และทรัพย์สมบัติมหาศาลในนั้นคืนมาจากมังกร Smaug ผู้ชั่วร้าย ในขณะที่เรื่องราวในหนังภาคสามนั้น ในหนังสือมีบรรยายแค่ “ไม่กี่พารากราฟ” เท่านั้น (แต่ก็มีความสำคัญคือเป็นช่วงต่อที่โยงไปเรื่อง The Lord of the Rings) จุดอ่อนอีกประการคือ ในภาคนี้ Hobbit หรือ Bilbo Baggins แทบไม่มีบทบาทหรือความเด่นเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่ชื่อหนังคือ “The Hobbit” แต่ในภาคนี้เขากลับไม่ใช่ตัวดำเนินเรื่องอย่างที่ควรจะเป็น เขากลายเป็นตัวประกอบที่แทบไร้บทบาทสำคัญ เหมือนหนูตัวหนึ่งที่วิ่งไปวิ่งมาท่ามกลางสงครามเท่านั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับแต่แรกแหละว่า ถ้าเลือกจะแยกภาคซะสามภาคขนาดนี้ ภาคสงครามก็ต้องยอมให้ความสำคัญของเรื่องตกไปอยู่ที่ราชาคนแคระ ไม่ใช่หัวขโมย Hobbit เหมือนตอนระหว่างการเดินทาง
ไหนๆ ก็ไหนๆ เรื่อง Legolas ก็เป็นอีกข้อติที่เราขอบ่นเป็นการส่วนตัว มันคือความน่าเสียดายที่ในภาคนี้บทบาทและความเท่ของเขาถูกลดลงไปมาก ถึงแม้ฉากที่เขาออกมาหลายฉาก ก็เท่ระเบิดระเบ้อไม่น้อยไปกว่าใคร แต่ในฉากนั้น ก็ยังมีความตลกที่ไม่เมคเซนส์ ซึ่งทำให้ความขลังของเอลฟ์หนุ่มของเราดร็อปลงไปเช่นกัน
นักแสดงนำของเรื่อง
มาร์ติน จอห์น คริสโตเฟอร์ ฟรีแมน (Martin John Christopher Freeman) รับบทเป็น บิลโบ แบ๊กกิ้นส์
เซอร์ เอียน เมอร์เรย์ แม็กเคลเลน (Sir Ian Murray McKellen) รับบทเป็น แกนดัล์ฟ
ริชาร์ด อาร์มิเทจ (Richard Crispin Armitage) รับบทเป็น ธอริน โอเคนชิลด์
เคน สท็อทท์ (Ken Stott ) รับบทเป็น บาลิน
กราแฮม แม็กทาวิช( Graham McTavish) รับบทเป็น ดวาลิน
เจมส์ เนสบิทท์ ( James Nesbitt ) รับบทเป็น โบเฟอร์
สตีเฟ่น ฮันเตอร์ ( Stephen Hunter ) รับบทเป็น บอมเบอร์
ดีน โอ’กอร์แมน ( Dean O’Gorman ) รับบทเป็น ฟิลิ
เอดัน เทอร์เนอร์( Aidan Turner) รับบทเป็น คิลิ
ตัวอย่างภาพยนตร์
ไฮไลท์ของหนัง
1. ข้อดีของ The Hobbit: The Battle of the Five Armies ก็คงเป็นเรื่องของการแสดงอันทรงพลังของนักแสดงทั้งหลาย แล้วก็ภาพสวยๆ CG อลังการงานสร้าง ที่เลอค่าแก่การดู 3D แบบ HFR อย่างยิ่ง (HFR = High Frame Rate หรือระบบการฉายภาพ 48 เฟรมต่อวินาที) บอกเลยว่า ภาพสวยมาก ตื่นตาตื่นใจ
2. ฉากสงครามในช่วง 45 นาทีสุดท้าย ก็สนุกเต็มอิ่ม ลุ้นจิกเบาะ ไปตามเนื้อเรื่องที่ทำให้เราต้องลุ้นไปกับเหล่าพระเองว่าพวกเขาจะเอาชีวิตรอดผ่านจากสงครามครั้งนี้ไปได้หรือไม่
3. อีกหนึ่งอย่างที่เรียกได้ว่าทำออกมาได้ดีขึ้นกว่าสองภาคแรกก็คือการกระชับเนื้อเรื่องที่ไม่ยืดยาวจนเกินไป
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะร้ายหรือดีอย่างไร สงครามห้าทัพจบลงในที่สุด แต่คนที่ได้มหาสมบัติมากที่สุด ไม่ใช่คนแคระ ไม่ใช่เอลฟ ไม่ใช่ออร์ ไม่ใช่พ่อมด ไม่ใช่ฮอบบิต คนที่รวยที่สุดในตอนจบของเรื่อง ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือ Peter Jackson ผู้กำกับ The Hobbit ไตรภาคคนนี้นี่เองค่ะ ยังไงลองไปหามาชมกันนะคะ
ที่มาเพิ่มเติม
th.wikipedia.org