และเราก็มาต่อกันด้วยภาคที่ 3 กันเลยค่ะกับ The Hunger Games Mockingjay ซึ่งครั้งนี้ถูกแยกออกเป็น 2 ภาคด้วนกัน หลังจากที่ภาค 2 หนังก็ยังคงความเข้มข้นของเนื้อเรื่องไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีแตกแถว จริง ๆ แล้วนวนิยายมีทั้งหมดสามเล่มนะครับ แต่เล่มที่สาม หนังเอามาทำแยกเป็น 2 พาร์ท ก็เพื่อทำให้หนังได้เล่าเรื่องราวได้อย่างเต็มที่โดยที่เนื้อหาที่ได้มาจากนิยายยังคงความสมบูรณ์มากที่สุดอีกด้วยค่ะ โดยในหนังฉบับนี้จะเล่าเรื่องราวชีวิตในวัยหนุ่มของสโนว์เป็นหลัก ความเป็นไปเป็นมาก่อนที่เขาจะขึ้นครองบัลลังก์เป็นผู้นำแห่งพาเน็มมาอย่างยาวนานอีกด้วยค่ะ
ซึ่งหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ ซูซาน คอลลินส์ ที่ตีพิมพ์ขายในปี 2020 ที่เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าใน The Hunger Games หลายทศวรรษ เมื่อครั้งที่ คอริโอลานุส สโนว์ ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวพาเน็มธรรมดา ๆ ในวัย 18 ปี ที่เขาได้ถูกเลือกให้มาเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้เข้าแข่งขันใน The Hunger Games ครั้งที่ 10 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของบาดแผลลึกที่ติดตรึงไปทั้งชีวิตของเขา ที่เมื่อเริ่มเรื่องมาหนังเล่าถึง แคทนิส เอเวอดีน (Jennifer Lawrence) ได้รับการช่วยเหลือออกจากสนามประลองนรก เพื่อมุ่งหน้าสู่เขต 13 ที่เธอจะได้พบกับ ประธานาธิบดีคอยน์ (Julianne Moore) ผู้ที่จะแนะนำและใช้เธอเป็นตัวชูโรงในการปฏิวัติต่อพวกแคปิตอล เพื่อดึงเขตอื่นๆ มาร่วมต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ขณะที่แคทนิสเองก็มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือ พีตา (Josh Hutcherson) เพื่อนร่วมชะตากรรมที่ถูกพวกแคปิตอลจับตัวไปเป็นเชลย โดนที่เนื้อเรื่องจะเป็นการเดินเรื่องต่อจากภาคที่แล้วเลยค่ะ
ประเภทหนัง | แอ็คชั่นดราม่า,นิยายวิทยาศาสตร์ |
กำกับโดย | ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ |
บทภาพยนตร์โดย | ไซมอน โบฟอยไมเคิล อาร์นต์ |
ถือลิขสิทธิ์และสร้างโดย | ไลออนส์เกทคัลเลอร์ฟอร์ซ |
คะแนน IMDb | 6.6 |
เมื่อแคทนิส ได้สวมรอยเป็น ม็อกกิ้งเจย์ , Mockingjay เพื่อปฏิวัติล้มล้างพวกแคปิตอล หญิงสาวผู้มาแข่งขันเพื่อสนองความสนุกสนานของพวกลุ่มคนชั้นสูง แต่กลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญของประชาชนให้ลุกขึ้นมาสู้ และปฏิวัติกับพวกระบอบเผด็จการที่ไม่เคยเห็นหัวประชาชนกดขี่ข่มเหงต่างๆนาๆ จนได้รับความเดือดร้อนกันไปทั่ว แต่กลุ่มพวกแคปิตอลเองก็ใช่ย่อย เมื่อประธานาธิบดีสโนว์ หาทางตอบโต้เหล่าประชาชนทุกวิถีทาง และส่งผลให้ผู้ประชาชนล้มตายมากมาย จนทางด้านเขต 13 เอง ต้องหาทางปลุกใจให้ประชาชนให้มีขวัญกำลังใจ และลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ต้องขอบอกก่อนเลยว่าส่วนตัวเป็นแฟนคลับของภาพยนตร์เรื่องนี้ และอ่านนิยายทุกเล่มก่อนที่จะดูภาพยนตร์ และนิยายก็มีเพียงสามเล่ม คำถามคือ เอานิยายเล่มสุดท้ายมาแบ่งเป็น 2 พาร์ท มันจะดีหรือ มันจะอืดไหม แต่คงไม่หรอกมั้ง เพราะว่า 2 ภาคแรกก็ทำออกมาได้ดีมาก เอาน่ามันต้องดีสิน่า
แต่ความหวังพังทลายทันที เพราะครึ่งชั่วโมงแรกของหนัง อืดอาด ยืดยาด น่าเบื่อมาก ตั้งใจดูก็แล้ว หากินป็อปคอร์นก็แล้ว ก็ยังอยากหลับเลย แต่หลังจากนั้นมา หนังก็ทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาได้ ด้วยความที่ตัวหนังภาคที่ 2 สร้างมาตรฐานไว้สูงมาก เมื่อ Mockingjay ถูกแบ่งออกเป็น 2 พาร์ท ทำให้ความสนุกของหนังลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ความประทับใจที่มีต่อพาร์ทนี้ลดลงเฉยเลย เพราะฉะนั้น ห้ามเอาหนังสือไปเปรียบเทียบกับภาพยนตร์เด็ดขาด คนละชั้น ทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลยด้วยซ้ำ เพราะหนังสือภาคนี้จะเต็มไปด้วยความหมองหม่น การสูญเสียที่เกินจะเยียวยา แต่สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือผลกระทบของเรื่องราวทั้งหมด สงครามนำมาซึ่งการสูญเสีย นำมาซึ่งความเจ็บปวดจากการสูญเสียที่ไม่มีวันย้อนกลับมาได้อีก
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่สิ่งที่ไม่ชอบ ในส่วนที่ดีที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คงเป็นดารานำอย่าง แคทนีส ที่อินเนอร์และฝีมือการแสดงของเธอ ทำให้สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง การสูญเสียของเธอ ซึ่งเธอแสดงความหดหู่ออกมาได้สมจริง ใครที่ดูหนังแล้วอินตามตัวนักแสดงก็จะรู้สึกและคิดตามว่า ถ้าคนเรามันจะมีชีวิตที่แย่ขนาดนี้ แถมทางออกที่มีก็แสนจะยากเย็น คงยากมากที่จะผ่านมันไปได้
นักแสดงนำของเรื่อง
เจนนิเฟอร์ ชเรเดอร์ ลอว์เรนซ์ ( Jennifer Shrader Lawrence) รับบทเป็น แคตนิส เอฟเวอร์ดีน
โจชัว ไรอัน ฮัทเชอร์สัน (Joshua Ryan Hutcherson) รับบทเป็น พีต้า เมลลาร์ก
ทอม บลายธ์ ( Tom Keir Blyth) รับบทเป็น ประธานาธิบดีสโนว์ วัยหนุ่ม
วูดโรว์ เทรซี แฮร์เรลสัน (Woodrow Tracy Harrelson) รับบทเป็น เฮย์มิช อาเบอร์นาธี
สแตนลีย์ ทุชชี จูเนียร์ (Stanley Tucci, Jr.) รับบทเป็น ซีซาร์ ฟลิกเคอร์แมน
ตัวอย่างภาพยนตร์
ไฮไลท์ของหนัง
1. ความสะเทือนใจจากการสูญเสีย ผมน่ะไม่ชอบเลยครับพวกหนังดราม่าสูญเสีย เพราะว่ามันสะเทือนใจมากเกินไป คือมันหดหู่ทุกครั้งที่เห็นใครคนหนึ่งทุกข์ทนจากการสูญเสีย มันทำให้เราเศร้าตามไปด้วยครับ
2. ความแกร่งของผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อถึงจุกที่หลังชนฝา ทนไม่ไหว การลุกขึ้นต่อต้านโดยผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกกดขี่และคุกคามมาตลอดด้วยกฎและกติกาที่ไม่เป็นธรรม ทำให้หมดความอดทน ลุกขึ้นมาเป็นตัวแทนและสัญลักษณ์ของความกล้าหาญเพื่อต่อสู้กับระบอบเผด็จการ
3. อีกหนึ่งอย่างที่ยังถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงามของหนังเรื่องนี้และเป็นองค์ประกอบสำคัญ ก็คือ อินเนอร์ หรือการแสดงอารมณ์ของนักแสดงที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก
ถึงการเดินเรื่องค่อนข้างผิดหวังกับภาคนี้เล็กน้อย แต่ก็ยืนยันว่าจะดูภาคจบอย่างแน่นอน และก็หวังเหลือเกินว่า จะได้เห็นการปิดฉากที่สวยและสมบูรณ์แบบ ในพาร์ทสองนะคะ
ที่มาเพิ่มเติม
th.wikipedia.org