และแล้วเราก็เดินทางมาถึงภาคสุดท้ายกันแล้วนะคะสำหรับภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายสุดโด่งดังอย่าง The Hunger Game หลังจากภาคที่แล้วค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไร มาเริ่มกันใหม่ ให้โอกาสทีมงานหน่อย โดยสำหรับใน Part 2 นี้ยังคงได้ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ผู้กำกับคนเดิม ตั้งแต่ในภาคที่ 2 หรือ The Hunger Games: Catching Fire รวมทั้งใน Part 1 ที่ผ่านมา มารับหน้าที่ประจำตำแหน่งเช่นเดิม นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับนักแสดงหน้าใหม่และหน้าเก่าอย่างคับคั่ง
เรื่องราวดำเนินต่อจากภาคที่แล้ว ในโลกที่ถูกเรียกว่า “พาเน็ม” ที่ถูกแบ่งออกเป็น 12 เขต และถูกปกครองภายใต้อำนาจของแคปปิตอล หลังจาก แคทนิส ถูกตั้งขึ้นให้กลายเป็นสัญลักษณ์ Mockingjay ของกลุ่มต่อต้าน นำทีมปฏิวัติโดยเขต 13 ซึ่งมี คอยน์ เป็นผู้นำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เธอเป็นเพียงฉากหน้า (ไม่ใช่แกนนำ) ในการปลุกระดมทั้ง 12 เขต ให้ลุกขึ้นโค่นล้ม สโนว์ ผู้นำแคปปิตอล ซึ่งหลังจาก พิต้า ถูกจับตัวไปและได้รับการช่วยเหลือกลับมาได้ แคทนิสก็พบกับความเจ็บปวดใจ เมื่อพิต้าไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป หลังจากถูกล้างสมองด้วยพิษตัวต่อ จนทำให้เกือบจะฆ่าแคทนิสด้วยน้ำมือตัวเอง อย่างไรก็ดี แผนการปฏิวัติก็ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะมีเรื่องดีๆ อย่างการแต่งงานของ ฟินิค หนุ่มจากเขตประมงผู้เปิดเผยแผนการต่ำช้าต่างๆ ของแคปปิตอล และ แอนนี่ แฟนสาว แต่แคทนิสก็ยังคงต้องรับบทบาทการเป็นสัญญาลักษณ์ Mockingjay ต่อไป
ประเภทหนัง | แอ็คชั่นดราม่า,นิยายวิทยาศาสตร์ |
กำกับโดย | ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ |
บทภาพยนตร์โดย | ไซมอน โบฟอยไมเคิล อาร์นต์ |
ถือลิขสิทธิ์และสร้างโดย | ไลออนส์เกทคัลเลอร์ฟอร์ซ |
คะแนน IMDb | 6.5 |
ขณะความวุ่นวายในแคปปิตอลก็มีมากขึ้น จนถึงขั้น สโนว์ เสนอให้นำเด็กๆ มาฝากไว้ที่ปราสาทของตนเองได้เพื่อความปลอดภัย ทั้งที่ความจริง เพื่อหลอกใช้ให้เด็กๆ เป็นเพียงโล่มนุษย์กำบังตนเองเท่านั้น และในระหว่างการบุกเข้าเขต 1 ของแคทนิส และเพื่อนๆ ซึ่งมีทั้ง เกล และ พิต้า นั้นเอง แม้จะเกิดการสูญเสียจากการเสียสละชีวิตของคนหลายคน เพื่อให้แคทนิสได้ไปต่อในการโค่นล้มสโนว์ แต่ก็ยังไม่เท่าการสูญเสียอย่างที่ไม่มีวันย้อนกลับของ พริม น้องสาวสุดที่รักของแคสนิทต่อหน้าต่อตาเธอ พร้อมทั้งเด็กๆ จำนวนมาก หลังจากเกิดการทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น โดยที่แผนการทั้งหมดนั้น หนึ่งในคนที่เธอเคยเชื่อใจมากที่สุดคนหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับมัน สโนว์ถูกจับตัวได้ในที่สุด และถูกพิพากษาลงโทษโดยการประหาร แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่เพียงเท่านั้น เมื่อแคทนิสรู้ว่าจุดจบของสโนว์ไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวทั้งหมดนี้ จุดหักมุมเกิดขึ้น
บทสรุปของภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายไตรภาคสุดมันส์เรื่องนี้จะจบลงเช่นไร ความสัมพันธ์ระหว่างแคทนิสและพิต้าจะดำเนินไปทิศทางไหน อะไรคือปลายทางของเกมล่าชีวิตครั้งนี้ ทุกคนลองไปหามาชมกันได้กับภาคจบของหนังชุดนี้ The Hunger Games: Mockingjay – Part 2 ที่เราสามารถใช้คำว่าครบทุกรส แต่ด้วยความที่ไม่ดีทางใดทางหนึ่ง มันเลยไม่สุดไปซะอย่างนั้น คนที่เป็นแฟนนิยายเรื่องนี้คงคิดว่า ทำไมต้องสร้างPart 2 ด้วย ในเมื่อสามารถอยู่พาร์ทเดียวกันได้ แต่ลองคิดอีกแง่คือ หนังได้รายได้คูณสองเท่า ค่ายหนังรับรายได้ไปเต็ม ๆ นักแสดงได้ค่าตัวเพิ่มเพราะถือเป็นภาพยนตร์ 2 เรื่อง แต่เหมือนเอาเปรียบผู้บริโภค เพราะคนที่ดูหนัง มันก็ต้องดูให้จบใช่ไหมละ ขยายแล้วไม่ใช่ว่าดีขึ้น แต่ก็ไม่แย่ถึงขั้นว่าล้มเหลวไปเลยหรอกนะคะ
ถึงจะเป็นภาคจบ แต่หนังกลับไม่เอาฉากที่ยืดยาวจนน่าเบื่อออกไปเลย มันเลยทำให้ผิดหวังนิดหน่อย แต่บทลงเอยฉากสุดท้าย ก็ถือว่าทำได้น่าจดจำ และให้เป็นตำนานได้อยู่ คงต้องยกความดีความชอบให้เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงนำที่แทบจะต้องแบกหนังทั้งเรื่องไว้แต่เพียงผู้เดียว โดดเด่นในเรื่องของการแสดงและอารมณ์ที่สื่อออกมา
นักแสดงนำของเรื่อง
เจนนิเฟอร์ ชเรเดอร์ ลอว์เรนซ์ ( Jennifer Shrader Lawrence) รับบทเป็น แคตนิส เอฟเวอร์ดีน
โจชัว ไรอัน ฮัทเชอร์สัน (Joshua Ryan Hutcherson) รับบทเป็น พีต้า เมลลาร์ก
โดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ ( Donald Sutherland) รับบทเป็น ประธานาธิบดีสโนว์ วัยหนุ่ม
วูดโรว์ เทรซี แฮร์เรลสัน (Woodrow Tracy Harrelson) รับบทเป็น เฮย์มิช อาเบอร์นาธี
สแตนลีย์ ทุชชี จูเนียร์ (Stanley Tucci, Jr.) รับบทเป็น ซีซาร์ ฟลิกเคอร์แมน
ตัวอย่างภาพยนตร์
ไฮไลท์ของหนัง
1.การลุกขึ้นสู้ของลูกผู้หญิง ที่ผ่านมา ทุกคนต้องอยู่ภายในการปกครองของพวกแคปิตอลมาตลอดหลายปี ไม่มีใครคิดจะลุกขึ้นต่อต้านเลย แต่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่ยอมเป็นทาสการปกครองแบบเผด็จการอีกต่อไป ทำให้คนที่ไม่มีทางสู้ หมดความอดทน กัดฟันกันขึ้นมาต่อสู้ โดยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสชนะรึเปล่า
2. สามัคคีคือพลัง การล้มล้างระบอบเผด็จการของพวกแคปิตอลจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดความช่วยเหลือของเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกัน จับมือกัน วางแผนกันต่อสู้ เพื่อล้มล้างระบบแบบนี้ออกไป เพื่อจะให้ชีวิตทุกคนมีความสงบสุขกันซะที ก็ทำให้รู้สึกฮึกเหิม และปลุกใจได้ในระดับหนึ่งเลยนะคะ
3. การยัดเรื่องราวการเมืองเข้ามาอย่างดุเดือด ชิงอำนาจ การปกครองแบบเผด็จการ เนื้อหาในส่วนนี้ที่เข้มข้นถือเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ยังทำได้ดีเช่นเดียวกับทุกภาคที่ผ่านมา
จบไปแบบสวยใช้ได้เลยสำหรับตำนานThe Hunger Games แม้ว่าจะมีสะดุดในส่วนของความอืดของหนัง แต่ถ้ามองข้ามไป ถือเป็นหนังที่ทำจากนิยาย เรียกได้ว่าครบเครื่องส่วนสำคัญของนิยาย ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ได้เกือบสมบูรณ์เท่าที่หนังจะทำได้เลยค่ะ
ที่มาเพิ่มเติม
th.wikipedia.org