รีวิวหนัง   X-Men  Dark Phoenix

รีวิวหนัง X-Men Dark Phoenix

หัวข้อสำคัญในบทความ

ภาพยนตร์เรื่อง X-Men: Dark Phoenix  หรือบางแห่งเรียกว่า ดาร์ก ฟีนิกซ์ ( Dark Phoenix) เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่สัญชาติอเมริกันปี พ.ศ. 2562 ที่สร้างจากตัวละครเอ็กซ์เมนของมาร์เวลคอมิกส์ เป็นภาคต่อของ X-เม็น อะพอคคาลิปส์ ในปี พ.ศ. 2559 เป็นภาคที่ 7 และภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ซีรีส์ X-Men และภาคที่สิบสองโดยรวม ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบท, ร่วมอำนวยการสร้าง และกำกับการแสดงโดย ไซมอน คินเบิร์ก (ในผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขา) และนำแสดงโดย เจมส์ แม็กอะวอย, มิชชาเอล ฟัสเบ็นเดอร์, เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, นิโคลัส เฮาลต์, โซฟี เทอร์เนอร์, ไท เชอริแดน, อเล็กซานดรา ชิปป์ และเจสสิก้า แชสเทน ใน ดาร์ก ฟีนิกซ์ เหล่า X-Men ถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับพลังเต็มที่ของฟีนิกซ์หลังจากภารกิจในอวกาศผิดพลาด Dark Phoenixเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2019 ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไป 252  ล้านดอลลาร์ทั่วโลกจากทุนสร้าง 200 ล้านดอลลาร์ เรียกได้ว่าขาดทุนเลยกับภาคนี้เป็นการปิดฉากที่ไม่ดีสำหรับหนังชุด X-Men 

รีวิวหนัง   X-Men  Dark Phoenix 1

เรื่องราวของเหล่าจักรวาลมนุษย์กลายพันธุ์บนโลกภาพยนตร์นั้นเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2000 แตกขยายออกเป็นทามไลน์หลายหลากมากมายทั้งเส้นทางหลัก อดีต อนาคต หรือแม้แต่การโฟกัสตัวละครเดี่ยวอย่าง “โลแกน” วูล์ฟเวอรีน แต่ทั้งหมดนั้นกำลังจะนำไปสู่ตอนจบบทสุดท้ายใน X-Men Dark Phoenix ซึ่ง Dark Phoenix จะเน้นการเล่าเรื่องไปที่ “จีน เกรย์” มนุษย์กลายพันธุ์สาวผู้มีพลังจิตในระดับสูงไม่แพ้ ชาร์ล เซเวียร์ ซึ่งเธอได้พบกับอุบัติเหตุทำให้รังสีสุริยะประหลาดถูกดูดเข้าไปในตัว ส่งผลให้พลังของเธอเพิ่มพูนขึ้น (จากที่มากอยู่แล้ว) และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เธอไม่สามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ แม้หนังจะเป็นทามไลน์เรียงต่อจาก X-Men: Apocalypse แต่หนังกลับไม่อ้างอิงเนื้อหาหรือเหตุการณ์ต่อกันมาเท่าไหร่ มีเพียงคาแรคเตอร์ที่ถูกใช้งานต่อเท่านั้น ทำให้เหตุการณ์และการตัดสินใจบางช่วงของบางตัวละครจะไม่ค่อยดึงอารมณ์ร่วมของคนดูได้เท่าไหร่นัก เสมือนกับเป็นหนัง X-Men เดี่ยวๆ ที่โผล่ขึ้นมาจากช่วงเวลาใดก็ได้

ประเภทหนังaction, superhero
กำกับโดยไบรอัน ซิงเกอร์
บทภาพยนตร์โดยไซมอน คินเบิร์ก
ถือลิขสิทธิ์และสร้างโดยทเวนตี้ เซนจูรี่ ฟ็อกซ์
มาร์เวล เอนเตอร์เทนเมนต์
คะแนน IMDb5.7

จุดเด่นของบทหนังคงหนีไม่พ้นการพยายามพาเรากลับไปสำรวจชีวิตของจีน เกรย์ ตั้งแต่วัยเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชาร์ลส์ เซเวียร์ ที่เริ่มจากการพยายามปกป้องจิตใจของฝ่ายหลังจนเกิดผลลัพธ์อันเลวร้ายตามมาได้เป็นอย่างดี ซีนที่ประทับใจหนีไม่พ้นซีนที่ชาร์ลส์ ยืนปากกาให้ จีน เป็นของขวัญพร้อมบอกเธอว่า เธอจะใช้ปากกาเขียนหนังสือหรือเป็นอาวุธก็ได้ ยังไงมันก็เป็นปากกา เป็นของขวัญไม่ต่างจากพลังของเธอ ซึ่งบทหนังส่วนนี้เขียนได้ชาญฉลาดมาก แต่น่าเสียดายที่ซีนดีๆมันดันหมดลงทันทีหลัง จีน เกรย์ กลายเป็นผู้ใหญ่ เพราะตัวบทหนังได้สร้างรูโหว่ไว้เพียบแถมยังไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยจีน เกรย์  หรือกระทั่งทำไมเหล่าเอ็กซ์เมนต้องปกป้องจีนด้วย รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง จีน กับ ไซคลอปส์ ที่หนังเองยังวางไว้ได้ไม่ดีพอเราเลยไม่ค่อยซึ้งหรืออินกับความสัมพันธ์ทั้งคู่นัก หรือแม้กระทั่งพลังคอสมิกของจีน เกรย์ ก็ดันไม่ได้เล่าอะไรไปมากกว่าฉากปล่อยลำแสงเฮ้ากวงออกมาซัดศัตรูให้ติดกำแพง ซึ่งเอาเข้าจริงในเวอร์ชั่นคอมิกคือมีพลังถึงขั้นบิดมิติเวลาด้วยซ้ำ

รีวิวหนัง   X-Men  Dark Phoenix 2

นอกจากนี้แต่ละคาแรกเตอร์นำจากหนังภาคเก่ายังถูกบอกเล่าได้อย่าง งงๆ อย่าง ชาร์ลส์ เซเวียร์ ที่คราวนี้เปิดเรื่องมาก็ใช้อำนาจสั่งการให้ เอ็กซ์ เม็นออกนอกโลกไปช่วยคนในภารกิจอันตราย พอจีนรับพลังกลับมาก็ดันมาสำนึกผิดทีหลังเหมือนคนเป็นไบโพลาร์ ไม่เหลือเค้าศาสตราจารย์ที่ชาญฉลาดและมีเมตตาไว้เท่าใดนัก หรือจะเป็น แม็กนีโต ที่หนังให้ข้อมูลค่ายรวมเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ของเขาน้อยไปหน่อย ทั้งที่มันถูกใช้เป็นสนามรบในฉากใหญ่ของเรื่อง รวมถึงเหล่าตัวละครสมทบที่ไม่ได้ขับเคลื่อนเรื่องราวเท่าที่ควร โดยเฉพาะการพูดถึงปัญหาการเมืองร่วมสมัยที่สามารถหยิบจับเหตุการณ์ต่างๆมาเป็นวัตถุดิบชั้นดีได้สบาย ซึ่งตรงนี้แหละที่บทหนังของไซมอน คินเบิร์ก หลงลืมหัวใจของการเป็นหนังอิงการเมืองซึ่งเข้มข้นมากในหนัง 2 ภาคแรกตั้งแต่ปี 2000 

รีวิวหนัง   X-Men  Dark Phoenix 3

รวมถึงการบอกเล่าตัวละครสมทบให้มีความน่าสนใจ มีเลือดมีเนื้อมีมิติมากกว่านี้ก็จะทำให้บทหนังมีความสมบูรณ์มากกว่าการพยายามยัดบทสรุปสูตรสำเร็จรูปให้หนังตามที่ปรากฎให้เห็นกัน

นักแสดงนำของเรื่อง 

เจมส์ แอนดรูว์ แม็กอะวอย ( James Andrew McAvoy)รับบทเป็น   Charles Xavier

เจมส์ แอนดรูว์ แม็กอะวอย ( James Andrew McAvoy)รับบทเป็น   Charles Xavier

มิชชาเอล ฟัสเบ็นเดอร์ ( Michael Fassbender) รับบทเป็น    Erik Lehnsherr / Magneto

มิชชาเอล ฟัสเบ็นเดอร์ ( Michael Fassbender) รับบทเป็น    Erik Lehnsherr / Magneto

เจนนิเฟอร์ ชเรเดอร์ ลอว์เรนซ์ ( Jennifer Shrader Lawrence ) รับบทเป็น    Raven / Mystique

เจนนิเฟอร์ ชเรเดอร์ ลอว์เรนซ์ ( Jennifer Shrader Lawrence ) รับบทเป็น    Raven / Mystique

นิโคลัส คาราดอก เฮาลต์ ( Nicholas Caradoc Hoult ) รับบทเป็น    Hank McCoy / Beast

นิโคลัส คาราดอก เฮาลต์ ( Nicholas Caradoc Hoult ) รับบทเป็น    Hank McCoy / Beast

โซฟี เทิร์นเนอร์ ( Sophie Belinda Jonas ) รับบทเป็น   จีน เกรย์ / ฟีนิกซ์

โซฟี เทิร์นเนอร์ ( Sophie Belinda Jonas ) รับบทเป็น   จีน เกรย์ / ฟีนิกซ์

ตัวอย่างภาพยนตร์

https://youtu.be/1-q8C_c-nlM

ไฮไลท์ของหนัง

1. ในส่วนของข้อดีก็ต้องยกให้กับฉากแอ็คชั่นน่าจดจำมากมาย โดยเฉพาะองก์สุดท้ายบนรถไฟที่หนังทำออกมาตื่นเต้นดีมาก ตูมตามกันอย่างเต็มที่สมจริงมาก

2. ดนตรีประกอบที่ได้ ฮานส์ ซิมเมอร์ มาทำเพลงออกมาได้ดีมาก ท่วงทำนองทรงพลัง เหมาะกับแต่ละช่วงเวลาและจังหวะของหนัง เพิ่มอารมณ์ของคนดูให้อินกับหนังเข้าไปอีก

3. ในด้านนักแสดงคงต้องยอมรับว่าหากมองที่รูปลักษณ์ภายนอกแล้ว การเลือกโซเฟีย เทอร์เนอร์ มารับบทนำนั้น ส่วนตัวก็มองว่าทำออกมาได้ดีนะและเข้ากับบทนี้มาก

ไฮไลท์ของหนัง

เอาเป็นว่าอย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นภาคสุดท้ายแล้วของหนัง X-Men  ก็อยากให้ไปหามาลองชมกันดูนะคะ ส่วนจะชอบไม่ชอบนั้นหลังดูจบก็ลองตัดสินกันเอาค่ะ

ที่มาเพิ่มเติม
en-m-wikipedia-org.translate.goog

Poster 24
Poster 24

ผู้คว่ำหวอดในวงการภาพยนต์แนวหน้าในประเทศไทย