ภาพยนตร์เรื่อง X-Men: First Class หรือในชื่อไทย X-เม็น รุ่น 1เป็นภาพยนตร์ปฐมบทของภาพยนตร์ชุด X-เม็น กำกับโดย แมทธิว วอห์น และมีไบรอัน ซิงเกอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์เอ็กซ์เมนสองภาคแรกร่วมเขียนบทและอำนวยการสร้าง เนื้อเรื่องกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาตราจารย์ชาร์ลส เซเวียร์ กับเอริค แลนเซอร์ หรือแม็กนีโต ก่อนที่จะเป็นศัตรูกันในเอ็กซ์เมนภาคแรก โดยในภาคนี้เน้นความสัมพันธ์การยอมรับตัวตน ระหว่างเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ในช่วงทศวรรษที่ 60 X-Men: First Class ข้าฉายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2011 นับเป็นความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศ กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 7 ของซีรีส์ และได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกจากนักวิจารณ์อีกด้วย
ในช่วงยุค 1960 ช่วงเวลาที่สงครามเย็นกำลังดุเดือด เมื่อความขัดแย้งระหว่างอเมริกาและสหภาพโซเวียตได้คุกคามเพิ่มขึ้นทั่วโลก ไปพร้อม ๆ กับที่โลกค้นพบว่ามีมนุษย์กลายพันธุ์อยู่ ในเวลาเดียวกันนี้เอง ก่อนที่ชาร์ลส ซาเวียร์ (รับบทโดย เจมส์ แม็กอะวอย) และ อีริค แลนเชอร์ (รับบทโดย มิชชาเอล ฟาสเบ็นเดอร์) จะได้ฉายา ศาสตราจารย์ เอ็กซ์ และ แมกนีโต้ พวกเขายังเป็นแค่ชายหนุ่มเพื่อนรักที่เพิ่งค้นพบพลังในตัวเอง และร่วมมือกับมนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่ง ในการหยุดยั้งไม่ให้โลกเดินหน้าสู่สงครามโลกครั้งที่สาม เป็นความจริงตามที่นักวิจารณ์กลุ่มที่ได้ไปดู X-Men: First Class รอบสื่อที่ลอนดอนส่วนใหญ่ว่าเอาไว้ว่า X-Men: First Class เป็นหนัง X-Men ภาคที่มีความคล้ายคลึงและเกี่ยวโยงกับหนัง X-Men สองภาคแรกซึ่งเป็นสองภาคที่ดีที่สุดของ Bryan Singer มากที่สุด
| ประเภทหนัง | Spy,action,comedy |
| กำกับโดย | แมทธิว วอห์น |
| บทภาพยนตร์โดย | แอชลีย์ เอ็ดวาร์ด มิลเลอร์แซ็ค สเต็นซ์เจน โกลด์แมนแมทธิว วอห์น |
| ถือลิขสิทธิ์และสร้างโดย | ทเวนตีท์เซนจูรีฟอกซ์ |
| คะแนน IMDb | 7.7 |
โดยเฉพาะการที่ตัวหนังเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มีฉากแอ็คชั่นเอาไว้เพียงแค่เป็นตัวเพิ่มความหนักแน่นของเนื้อเรื่อง ไม่ได้เน้นขายแต่ฉากแอ็คชั่นอย่างเดียวจนเนื้อเรื่องเหลวเป๋วแบบหนัง X-Men ก่อนหน้านี้ X-Men: First Class เล่าเรื่องราวที่มาที่ไปของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ต่อมาจะแยกกันเป็นสองฝ่ายระหว่างฝ่าย X-Men ของศาสตราจารย์ Xavier และฝ่าย Brotherhood ของ Magneto แล้วจับเอามาผสมโรงกับวิกฤติการณ์ครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์อย่างวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาได้อย่างเข้มข้น โดยมีเสน่ห์ของเหล่านักแสดงนำและประเด็นหลายๆอย่างที่น่าสนใจเป็นตัวรองรับ เช่นประเด็นเกี่ยวกับการไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม(มนุษย์กลายพันธุ์ = ผู้พิการ,คนผิวสี,รักร่วมเพศ)แบบเดียวกับใน X-Men สองภาคแรกของ Bryan Singer, ความเป็นเหมือนน้ำกับไฟของ Charles (ศาสตราจารย์ Xavier) ผู้เลือกแนวทางแห่งการประนีประนอมกับ Erik (Magneto) ผู้เลือกแนวทางแห่งความรุนแรง,และความสัมพันธ์ฉันปีศาจแฟรงเกนสไตน์กับผู้สร้างของ Erik กับ Sebastian Shaw ตัวร้ายประจำภาคนี้
ส่วนฉากแอ็คชั่นในหนังนั้นก็ไม่ได้มีเยอะและก็ไม่ได้เน้นความหวือหวา แต่ก็ยังสามารถโชว์พลังความสามารถต่างๆของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักแสดงแต่ละคนในหนังล้วนเหมาะกับบทที่ตัวเองได้รับ คนดูสามารถโยงภาพของพวกเขาในหนังภาคนี้เข้ากับตัวละครของพวกเขาในไตรภาคหลักของหนัง X-Men ได้อย่างไม่ขัดเขิน สองนักแสดงที่ผมประทับใจการแสดงของพวกเขามากที่สุดในเรื่องก็คือ Michael Fassbender ผู้สามารถถ่ายทอดความคลั่งแค้นของ Erik และความน่าเกรงขามของ Magneto ได้อย่างยอดเยี่ยม
แม้หนังจะว่าด้วยมนุษย์กลายพันธุ์ แต่มันก็สอนเราเต็มๆ ตั้งแต่สอนพ่อแม่ให้ตระหนักว่าการเลี้ยงดูลูกนั้นสำคัญยิ่ง เพราะแต่ละสิ่งที่เราทำมันจะส่งผลหล่อหลอมเป็นตัวเขาในอนาคต แน่นอนว่าไม่ใช่พ่อแม่เท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบต่อการเติบโตของเด็ก แต่รวมถึงพี่น้อง ญาติมิตร เพื่อนบ้าน ครูอาจารย์ พูดง่ายๆ สังคมทั้งหมดน่ะแหละ
นักแสดงนำของเรื่อง
เจมส์ แอนดรูว์ แม็กอะวอย ( James Andrew McAvoy)รับบทเป็น Charles Xavier
มิชชาเอล ฟัสเบ็นเดอร์ ( Michael Fassbender) รับบทเป็น Erik Lehnsherr / Magneto
เจนนิเฟอร์ ชเรเดอร์ ลอว์เรนซ์ ( Jennifer Shrader Lawrence ) เรับบทเป็น Raven / Mystique
นิโคลัส คาราดอก เฮาลต์ ( Nicholas Caradoc Hoult ) รับบทเป็น Hank McCoy / Beast
โรส ไบรน์ ( Mary Rose Byrne ) รับบทเป็น Moira MacTaggert
ตัวอย่างภาพยนตร์
ไฮไลท์ของหนัง
1. สิ่งที่รู้สึกเสมอมาใน X-Men คือ มันไม่ใช่แค่การ์ตูนฮีโร่เอามันส์ แต่มันเป็นภาพสะท้อนเรื่องการปฏิบัติตนต่อกันระหว่างคนกับคน มิวแตนท์กับมิวแตนท์ คนกับมิวแตนท์ และคนกับสิ่งแวดล้อม ในภาคนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น
2. ตัวหนังยังมีงานโปรดักชั่นดีไซน์ที่ดูดีมีราคาเป็นอาหารเสริมลูกตาคนดู หลายๆฉากของหนังสามารถจับเอาภาพของยุค 40’s – 60’s ออกมาได้ดีไม่แพ้หนังประวัติศาสตร์ทุนหนาๆสักเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
3. สุดท้ายเรื่องอารมณ์ขันที่หนังใส่ลงมาเป็นระยะกลมกล่อมพอดี ช่วยให้อารมณ์หนังไม่หนักเกินไปด้วย ขณะเดียวกันประเด็นดีๆ ในเรื่องก็น่าสนใจไม่แพ้กัน อย่างใจความหลักเลยก็คือ อดีตของชาร์ลและอีริคส่งผลให้ทั้งคู่เป็นขั้วตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
สำหรับ X-Men: First Class นั้น เหมาะสำหรับคนที่กำลังอิ่มตัวกับ X-Men ชุดเก่าพอดี และอยากที่จะสำรวจอะไรใหม่ๆ ในจักรวาลนี้เพิ่ม โดยการย้อนเวลาไปสู่จุดกำเนิดของตัวละคร และการก่อตั้งสถาบัน X-Men ขึ้นมา ซึ่งก็นับว่ามีมีมุมมองในการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ทั้งทีมตัวละครและฉากหลังย้อนยุคที่ดูมีเสน่ห์ ซึ่งกับคนที่ต้องการฉากแอคชั่นอัดกันเละแบบเวอร์ชั่นก่อน อาจไม่ถึงใจนัก แต่หากใครที่ต้องการเนื้อเรื่องที่แข็งแรงเข้มข้น ในแบบของหนัง Marvel ที่ดีๆ อย่าง Iron Man หรือ Spider-Man แล้ว คิดว่าน่าจะชอบ X-Men ภาคนี้ไปด้วยอย่างแน่นอน
ที่มาเพิ่มเติม
en-m-wikipedia-org.translate.goog
